ความหมายของ Food Plating และ Food Styling
แม้ว่าคำว่า Food Plating และ Food Styling จะเกี่ยวข้องกันและมีเป้าหมายร่วมกันคือทำให้ “อาหารดูน่าสนใจ” แต่บทบาทและวิธีการทำงานของทั้งสองอย่างนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยสามารถแบ่งความหมายและบริบทการใช้งานได้ดังนี้:
1. Food Plating (การจัดจานอาหาร)
Food Plating คือ ศิลปะและเทคนิคของการจัดวางส่วนประกอบของอาหารลงบนจานสำหรับเสิร์ฟจริง (Dine-in) โดยมุ่งเน้นที่การสร้าง ประสบการณ์การรับประทานอาหาร (Dining Experience) ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ณ เวลานั้น ๆ
องค์ประกอบที่สำคัญ | คำอธิบาย |
บทบาทหลัก | เชฟ (Chef) เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการจัดจาน |
วัตถุประสงค์ | เพื่อ เพิ่มมูลค่า ของอาหาร, กระตุ้นความอยากอาหาร, และสร้างความสมดุลด้านรสชาติ พื้นผิว และอุณหภูมิในขณะที่ลูกค้ากำลังรับประทาน |
บริบทการใช้ | ในครัวร้านอาหาร, ภัตตาคาร, โรงแรม (เน้นการเสิร์ฟอาหารจริง) |
ข้อจำกัด | ต้องใช้อาหารจริง และส่วนประกอบทุกอย่างในจาน ต้องกินได้ (Edible) และ เป็นส่วนหนึ่งของรสชาติ |
สิ่งที่โฟกัส | สมดุล (Balance), ความสะอาดของจาน, ความเร็วในการจัดจาน, อุณหภูมิ และ สัดส่วน ของอาหาร |
ตัวอย่างเทคนิค Food Plating:
-
Rule of Thirds (กฎสามส่วน): การแบ่งจานออกเป็นสามส่วนเพื่อสร้างจุดเด่น
-
Clock Plating: การจัดวางอาหารตามตำแหน่งเข็มนาฬิกา (เช่น โปรตีนที่ 6 นาฬิกา, แป้งที่ 10 นาฬิกา, ผักที่ 2 นาฬิกา)
-
Building Height: การสร้างความสูงเพื่อเพิ่มมิติและความน่าสนใจ
-
Sauce Swiping: การใช้ซอสปาดหรือหยดเพื่อสร้างลวดลาย
2. Food Styling (ศิลปะการออกแบบอาหาร)
Food Styling คือ ศิลปะและเทคนิคของการตกแต่ง จัดเตรียม และปรับแต่งอาหารให้ดูสวยงามและสมบูรณ์แบบที่สุดเพื่อวัตถุประสงค์ในการถ่ายภาพหรือวิดีโอ โดยมักถูกนำไปใช้ในงานโฆษณา, เมนู, นิตยสาร, หรือสื่อโซเชียลมีเดีย
องค์ประกอบที่สำคัญ | คำอธิบาย |
บทบาทหลัก | ฟู้ดสไตลิสต์ (Food Stylist) ร่วมกับช่างภาพและผู้กำกับศิลป์ |
วัตถุประสงค์ | เพื่อ ดึงดูดสายตา และ สื่อสารแนวคิด หรือ จุดขาย ของผลิตภัณฑ์ผ่านภาพถ่ายหรือวิดีโอให้ได้ภาพที่ “สมบูรณ์แบบ” ที่สุด |
บริบทการใช้ | สตูดิโอถ่ายภาพ, ฉากโฆษณา, การสร้างคอนเทนต์ |
ข้อจำกัด | ไม่จำเป็นต้องใช้อาหารจริง หรือกินได้ทุกส่วน สามารถใช้เทคนิคพิเศษหรือวัสดุอื่น ๆ มาช่วยให้ภาพดูดีที่สุด (เช่น ใช้ก้อนคริสตัลแทนน้ำแข็ง, ใช้กาวแทนวิปปิ้งครีมบางกรณี) |
สิ่งที่โฟกัส | รูปลักษณ์ (Visual Appeal), แสงเงา, พื้นผิว, ความสดใหม่ที่คงอยู่ได้นาน ในขณะถ่ายทำ |
ตัวอย่างเทคนิค Food Styling:
-
ใช้ไอน้ำปลอม: เพื่อให้ดูเหมือนอาหารร้อนอยู่ตลอดเวลา
-
การใช้กลีเซอรีน/สเปรย์น้ำ: เพื่อสร้างละอองน้ำบนผลไม้ให้ดูสดชื่น
-
การปรุงแค่ผิวเผิน: เนื้อสัตว์อาจจะถูกปรุงแค่ด้านนอกเพื่อให้ยังคงรูปทรงสวยงามและสีสด
-
การจัดฉาก (Prop Styling): การเลือกภาชนะ ผ้าปูโต๊ะ และอุปกรณ์ประกอบฉากให้เข้ากับธีม
สรุปความแตกต่าง
Food Plating | Food Styling |
มุ่งเน้นการรับประทานจริง (เน้นรสชาติและประสบการณ์) | มุ่งเน้นการถ่ายภาพ/วิดีโอ (เน้นรูปลักษณ์และความสมบูรณ์แบบของภาพ) |
ส่วนประกอบ ต้องกินได้ | ส่วนประกอบ ไม่จำเป็นต้องกินได้ เสมอไป (เช่น กาว, พลาสติก) |
จัดโดย เชฟ เพื่อลูกค้า | จัดโดย ฟู้ดสไตลิสต์ เพื่อกล้อง |
หลักการ “กินด้วยตา” (Eat with eyes first)
หลักการ “กินด้วยตา” คือการที่ รูปลักษณ์ภายนอก ของอาหารมีอิทธิพลอย่างมากต่อการรับรู้รสชาติและความอยากอาหารของเรา ก่อนที่เราจะตักอาหารเข้าปากด้วยซ้ำ การตัดสินใจว่าอาหาร “อร่อย” หรือ “น่าลอง” จะเริ่มขึ้นทันทีที่ตาเห็นจานอาหารนั้น
นักวิทยาศาสตร์ด้านอาหารกล่าวว่าประสาทสัมผัสถึง 80% ของเราทำงานเมื่อเราเห็นอาหาร ซึ่งการประเมินเบื้องต้นนี้ส่งผลต่อประสบการณ์ทั้งหมดในการรับประทานอาหารเลยทีเดียว
ความสำคัญของหลักการ “กินด้วยตา”
มิติความสำคัญ | คำอธิบาย |
1. การกระตุ้นความอยากอาหาร (Appetite Stimulation) | สีสันที่สดใส, ความเงางาม, และการจัดวางที่น่าสนใจ จะส่งสัญญาณไปที่สมองส่วนที่กระตุ้นความหิว ทำให้ร่างกายเตรียมพร้อมสำหรับการรับประทานอาหาร |
2. การรับรู้รสชาติ (Perceived Taste) | ถ้าอาหารดูดี สมองจะตีความว่ารสชาตินั้นดีตามไปด้วย (Placebo Effect) ทำให้ผู้รับประทานมีทัศนคติเชิงบวก และมักจะให้คะแนนรสชาติสูงขึ้น |
3. การสื่อสารคุณภาพ (Communicating Quality) | การจัดจานที่พิถีพิถันสื่อถึงความตั้งใจและทักษะของเชฟ ลูกค้าจะรับรู้ถึง มูลค่า และ คุณภาพ ที่สูงขึ้นของอาหารจานนั้น |
4. ความน่าจดจำ (Memorability) | อาหารที่จัดจานสวยงามจะสร้างความประทับใจที่ยาวนานกว่า และมีโอกาสที่ลูกค้าจะถ่ายภาพเพื่อแชร์บนโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการตลาด |
องค์ประกอบหลักในการทำให้ “ตาอยากกิน”
การทำให้เกิดปรากฏการณ์ “กินด้วยตา” นั้น ต้องอาศัยการผสมผสานขององค์ประกอบทางศิลปะ 5 ข้อ ที่เชฟและฟู้ดสไตลิสต์ใช้เป็นหลัก:
องค์ประกอบ | คำอธิบาย | ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ |
1. สี (Color) | สีสัน ที่หลากหลายและตัดกันอย่างเหมาะสมช่วยเพิ่มความน่าสนใจ และบ่งบอกถึงความสดใหม่ของวัตถุดิบ (เช่น สีเขียวสดของผัก, สีเหลืองของไข่แดง) | ใช้สมุนไพรสด (ไมโครกรีน), ซอสสีแดงสด (ซอสเบอร์รี่), หรือพริกไทยสีดำเพื่อสร้างจุดตัดของสี |
2. พื้นผิว (Texture) | ความแตกต่างของพื้นผิว ในจานจะเพิ่มมิติสัมผัสให้ตาเห็น เช่น ความกรอบ, ความเงา, ความนุ่ม, ความหยาบ | การโรยเมล็ดธัญพืชคั่ว, การใช้ผิวสัมผัสของอาหารทอด (Crispy), หรือการใช้ซอสเนื้อเนียน (Smooth) |
3. รูปร่าง (Shape) และ ความสูง (Height) | การนำเสนออาหารใน รูปร่าง ที่แตกต่าง และการสร้าง ความสูง ให้จานดูมีมิติ ไม่แบนราบ จะดึงดูดสายตาได้ดี | การซ้อนอาหารเป็นชั้น (Stacking), การหั่นส่วนประกอบให้เป็นทรงเรขาคณิต, หรือการพิงผักตั้งตรง |
4. พื้นที่ว่าง (Negative Space) | การเว้น พื้นที่ว่าง รอบ ๆ อาหารบนจาน (จานใหญ่แต่อาหารไม่เต็ม) ทำให้จานดูสะอาดตา และเน้นให้จุดเด่นของอาหารดูโดดเด่นยิ่งขึ้น | ใช้จานขนาดใหญ่กว่าปกติ และจัดวางอาหารแค่ส่วนใดส่วนหนึ่ง เพื่อให้พื้นที่ว่างเป็นกรอบนำสายตา |
5. อุณหภูมิ (Temperature) และความสดใหม่ | อาหารที่กำลังร้อนและมี ไอน้ำ หรืออาหารเย็นที่มี ละอองน้ำ (Dew/Mist) บนผิว จะส่งสัญญาณถึงความพร้อมและคุณภาพทันที | เสิร์ฟอาหารร้อนในทันที, ใช้เทคนิคการถ่ายภาพหรือจัดจานที่แสดงให้เห็นถึงไอน้ำ/ความสด |
-
จานอาหารธรรมดา
-
จานอาหารที่ “จัดด้วยตา”